ทฤษฎี
ฟอสฟอรัส (อังกฤษ: phosphorus) เป็นธาตุอโลหะ เลขอะตอม 15 สัญลักษณ์ P
ฟอสฟอรัสอยู่ในกลุ่มไนโตรเจน มีวาเลนซ์ได้มาก ปรากฏในหลายอัลโลโทรป พบทั้งในหินฟอสเฟต และเซลล์สิ่งมีชีวิตทุกเซลล์ (ในสารประกอบในดีเอ็นเอ) เนื่องจากสามารถทำปฏิกิริยาได้สูง จึงไม่ปรากฏในรูปอิสระในธรรมชาติ
วัฏจักรฟอสฟอรัส (Phosphorus cycle)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgjfDo4jNdNa4V6kTvlx24xljlluB38IKhCo-lF10h9ephxJWD-w06jk82f-w_R6FgRsTi2EqIuFMZTl8o6RGLCVkSOK-JxfoMItyl8Uq1hyo8aGT4jU6sZKzw_LL9FV-9Ey6rOco7wAM/s400/021.jpg)
กระบวนการที่ฟอสฟอรัสถูกหมุนเวียนจากดินสู่ทะเลและจากทะเลสู่ดินซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า
กระบวนการการตกตะกอนฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่มีอยู่ในธรรมชาติเพียงน้อยมาและเกิดขึ้นจากการ
เปลี่ยนแปลง ของธรณีวิทยา ฟอสฟอรัสนำมาใช้หมุนเวียนระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต
ในปริมาณจำกัด อสฟอรัสจะหายไปในห่วงโซ่อาหารในลักษณะตกตะกอนของสารอินทรีย์ไปสู่พื้นน้ำ
เช่น ทะเล แหล่งน้ำต่าง ๆ
อีกส่วนหนึ่งของฟอสฟอรัสจะอยู่ในรูปของสารประกอบ ซึ่งทับถมกันเป็นกองฟอสเฟต
รวมทั้งโครงกระดูก เปลือกหอย และซากปะการังใต้ทะเล และมหาสมุทร โพรติสต์ในทะเล
ที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ สามารถนำเอาสารประกอบฟอสเฟตเหล่านี้ไปใช้ได้
ทำให้มีปริมาณแพลงก์ตอนพืชเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แพลงก์ตอนนพืชเหล่านี้ถูกกิน
โดยแพลงก์ตอนสัตว์ และสัตว์อื่นๆ ต่างกินกันต่อๆ ไปตามห่วงโซ่อาหาร
ฟอสฟอรัสจะถูกถ่ายทอดไป ตามลำดับขั้นเช่นเดีายวกัน จนกระทั่งในที่สุดสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
เหล่านั้นตาย หรือขับถ่ายลงนำ้ จะมีจุลินทรีย์บางพวกเปลี่ยนฟอสฟอรัส ให้เป็นสารประกอบ
ฟอสเฟตอยู่ในนำ้อีกครั้ง นอกจากนั้นนกทะเลถ่ายออกมามีมูลที่เป็นสารประกอบฟอสฟอรัสปริมาณสูง
มูลเหล่านั้นเมื่อลงทะเล จะเป็นอาหารของปลา และสัตว์อื่นๆ ได้เช่นกัน
ปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมด หมายถึง ปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมดในขยะซึ่งจะอยู่ในรูปของสารประกอบออโทฟอสเฟต ( Ortho-Phosphate )
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จุดประสงค์
1.เพื่อศึกษาการหาปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมดตามขั้นตอนอย่างถูกต้องตามกระบวนการได้
2.เพื่อศึกษาการใช้อุปกรณ์ต่างๆได้อย่างถูกต้อง
อุปกรณ์ในการวิเคราะห์
1.ตู้อบ( Hot air oven )
2.เดสิเคเตอร์ ( Desiccator )
3.เครื่องชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด ( Analytical Balance )
4.เครื่องบดขยะ ( Grinder )
5.Hot Plate
6.ชุดเครื่องแก้วสำหรับ Digest ที่ผ่านการทำความสะอาดด้วย 1: 1 HCl ขณะร้อน หรือ 1:1 HNO3 แล้วล้างด้วยน้ำประปาหรือน้ำกลั่นอีกครั้ง
7.Photometer ( เช่น Spectrophotometer ที่มีความยาวคลื่น 880 mm )
8.ตู้ควัน( Hood )
สารเคมี
1 ) 5 N H2 SO4 : น้ำ 70 ml H2SO4 conc ละลายด้วยน้ำกลั่นจนมีปริมาตร 500 ml Antimony potassium tartrate solution : น้ำ 1.3715 กรัม K ( SbO ) C4H4O6* ½ H2O เติมน้ำกลั่น 400 ml แล้วทำให้ปริมาตรเป็น 500 ml เก็บไว้ในขวดแก้วสีชาที่ 4° C
2 ) Ammonium molybdate solution : ละลาย 20 กรัม( NH4 ) 6Mo7O24*4H2O ด้วยน้ำกลั่นจนได้ปริมาตร 500 ml. เก็บในขวดพลาสติกที่ 4 ° C
3 ) Ascorbic acid 0.1 M : นำ Ascorbic acid 1.76 กรัม ละลายในน้ำกลั่น 100 ml. สารละลายน้ำจะคงตัวอยู่ในช่วงเวลา 1 สัปดาห์ที่ 4 ° C
4).Combined reagent :
100 ml. 5 N H2 SO4
10 ml. Antimony potassium tartrate solution
30 ml. Ammonium molybdate solution
60 ml. Ascorbic acid solution
ผสมกันตามลำดับเขย่าทุกครั้งที่เติม Reagent แต่ละตัว และต้องเตรียมใหม่ทุกครั้งที่ใช้
5 ) Sulfuric acid conc.
6 ) Ammonium persulfate
7 ) Stock phosphate solution : นำ Potassium dihyrogen phosphate ( KH2PO4 ) มาอบในตู้ ( Oven ) ที่ 105 ° C อย่างน้อย 2 ชั่วโมง แล้วนำมา 0.4394 กรัม มาละลายน้ำกลั่นให้มีปริมาตรเป็น 1 ลิตร สารละลายที่ได้ 1.0 ml. = 0.1mg.P
8 ) Standard phosphous solution : ละลาย 10 ml. Stock phosphorua solution ด้วยน้ำกลั่นให้มีปริมาตร 1000 ml. สารละลายที่ได้ 1.0 ml = 1.0 ugP
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggxFDznGU1CDjiJhrQbYAJ_WeIbbowVRxLcNnxP5IMbB33zZOAlN5HS_eaI7Yi3hFOS7kKICUxfBBHC8BoktNtYs4s7VfwQKnFQSUxFaO4ILtAOTFHM0oIEeGl2CR7K_5loryxrzKcxG0/s400/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B5.jpg)
9 ) 6 N Sodium hydroxide
ขั้นตอนการวิเคราะห์
นำขยะที่ผ่านการอบแห้งและบดแล้ว มาอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 75 ° C เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ปล่อยให้เย็นใน Desiccator จากนั้นสุ่มตัวอย่างขยะประมาณ 1 - 2 กรัม นำมาวิเคราะห์ด้วยวิธี Acorbic acid Method ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1.การ Digest
ชั่งน้ำหนักขยะประมาณ 1 กรัม ใส่ Kjeldahl flash ใส่ conc. H2 SO4 25 ml. ammonium persulfate ประมาณ 0.4 กรัม เพื่อเป็น catalyst ใส่ เม็ดแก้ว ( Glass bead ) เพื่อกระจายความร้อน digest จนกระทั่ง สมบูรณ์คือ สารละลายใส แต่บางครั้งในขยะมี Interfernce ซึ่งจะทำให้สารละลายที่ได้ เป็นสารละลายเข้มออกใสจากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาปรับ pH จนได้ค่าประมาณ 7 ±0.2
2.การทำให้เกิดสี
หลังจากปรับ pH จนได้ 7 ±0.2 แล้วนำตัวอย่างมาปรับปริมาตรให้เป็น 200 ml. จากนั้นนำตัวอย่างมาในอัตราส่วนต่างๆ ( dilution )โดยปรับปริมาตรให้เป็น 50 ml. จากนั้นเติม combined reagent 8.0 ml. จะได้สีน้ำเงินถึงน้ำเงินเข้ม แล้วนำไปวัดค่า Color absorbance ที่ 880 mm ภายใน 10 - 30 นาที
3.นำค่า absorbance มาเปรียบเทียบ standard curve ( ควรทำ standard curve ใหม่ทุกครั้งที่ทำการวิเคราะห์ )
ตารางบันทึกผลการทดลอง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgg0zJ7-SvovHS6rW5jdA0sBarn7SQpRXaiL8CH1CEGCqJQGki-2jwpla0sNhzERZq0xOB_LDR84q0W0xctW2lOlwMR27HSt9e-ugLw3RYlBEMNChhnKN80e73NMJr7wB10m2KqRPS-joM/s400/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg)
กราฟเปรียบเทียบ standard curve
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEinI_uFzxp9-uAmQZloHr3KpPQUrej-InN9eiYlYVjpX2itsLykgIxjnzfak2qb6TEFR9dMCCoip_uIsIOFZh4jRgioQOAbtkd5Mt2CFcQZpEbAJJG4qnAajhjzDOuMIhITuRGJ0OaC6hM/s400/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9F.jpg)
สรุปผลการทดลอง
จากผลการทดลอง ค่าที่ได้จากน้ำตัวอย่าง เกิดจากการ dilute เวลาต้องการปริมาณที่แท้จริงจึงต้อง คูณ 10 เพราะจะได้ความเข้มที่แท้จริง เช่น 0.122 x 10 = 1.22 mg/1 ทำให้สามารถเปรียบเทียบค่า Standard Curve ได้พบว่าตัวอย่างครั้งที่ 1 และครั้งที่ 3 ค่าอยู่ที่ช่วง 0.297 ปริมาณ Standard Solution 15 ml.
รูปประกอบการทดลอง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhka6tRZMSUzDb2gNANhe51gHLCNLWUshawO6ccWEhTrXIEiWCwLhPvh-2KPoxwSZuR4UoLY8ZgJT8pI25VSwcUmMZ8eU3hs3FeSbCAFVHbIjcMI1RcqlV2fACRv8eSluPOP05SsawiOOo/s400/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%86.jpg)
ภาพแสดง การต้มใหม่ๆ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgH-HSfgyxHqlBB26vTPQuAxXHA-or6xkYQdqWwWvtivLQ2bDKzpIr5qFtOI_C0GvBQgXHn7LkkcSPg08dLovHlmKimxut6thFXYCU2w9sLDmg97bxe87ZQhlnkoRHQkUhg6iGoFnyAMqk/s400/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7+%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg)
ภาพแสดง หลังการต้มจนได้สีฟางข้าว และ พร้อมนำไปทดลอง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkfe0tSqOFh-YyQ7c3QfLYEjgZzVDU8eDBcEeRqfyCc4bWP2kWaYyqoufxmcTZzdzuhy0FCPD9U31AnOlUk6hvBZCPbkLCtWTY-t3aZS2-UwRrM5DZ85smYtYx7f33aF9EpiCE25Hto_s/s400/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2+absorbance+%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A+standard+curve.jpg)
ภาพแสดง การวัดค่า absorbance
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น